ผู้ให้ข้อมูลร่วมกัน

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

ประวัติสตีฟ แนช





สตีฟ แนช
สตีเฟน จอห์น แนช (Stephen John Nash) หรือ สตีฟ แนช (Steve Nash) (เกิด 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517[1] ในเมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้)[2] เป็นนักบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงชาวแคนาดา

ด้วยส่วนสูงประมาณ 6 ฟุต 3 นิ้ว แนชเป็นพอยท์การ์ดตัวจริงให้กับทีมฟีนิกส์ ซันส์ในลีกเอ็นบีเอ ได้รับเลือกให้เล่นในเกมรวมดารา (All-Star Game) ในปี ค.ศ. 2005 และ 2006 และยังได้รับเลือกก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 2002 และ 2003 ขณะเล่นให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ในปี ค.ศ. 2005 แนช ได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) โดยเฉือนเอาชนะแชคิล โอนีลจากทีมไมอามี ฮีท[3] และยังได้รางวัลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ. 2006
วัยเด็ก
แนช เกิดในประเทศแอฟริกาใต้เนื่องจากบิดาเขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ครอบครัวก็ย้ายมาตั้งหลักในประเทศแคนาดาก่อนที่แนชจะมีอายุครบสองขวบ เหตุผลที่ย้ายเพราะครอบครัวของแนชไม่ต้องการเห็นลูก ๆ ของเขาเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่มีการเหยียดสีผิว
แนชมาจากครอบครัวนักกีฬา จอห์น แนช (John Nash) บิดาของเขาเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพในแอฟริกาใต้ มาร์ติน แนช (Martin Nash) น้องชายเขาได้เล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติแคนาดามากกว่า 30 ครั้ง โจแอน (Joann) น้องสาวเป็นกัปตันทีมฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย
แนชเติบโตขึ้นที่เมืองวิกตอเรีย บริติชโคลัมเบีย และเล่นบาสเกตบอลระดับไฮสกูลที่โรงเรียนเซนต์ไมเคิลยูนิเวอร์ซิตี (St. Michaels University School)ในปีสุดท้ายเขาทำได้เฉลี่ยเกือบเป็นทริปเปิล-ดับเบิลต่อเกม โดยได้เกิน 21 คะแนน 11 แอสซิสต์ และ 9 รีบาวด์ และพาทีมไปคว้าแชมป์ของรัฐบริติชโคลัมเบียในระดับ AAA และเป็นผู้เล่นแห่งปีประจำรัฐ แต่ไม่มีมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริการะดับเอ็นซีดับเบิลเอ (NCAA) ไหนที่เสนอทุนการศึกษาให้กับแนชเลย เอียน ไฮด์-เลย์ (Ian Hyde-Lay) โค้ชของเขาส่งจดหมายและเทปการเล่นของแนชไปยังมหาวิทยาลัยอเมริกันมากกว่า 30 แห่ง แต่ได้รับการปฏิเสธหรือไม่มีการตอบกลับมา
แต่หัวหน้าโค้ชมหาวิทยาลัยซานตาคลารา (Santa Clara University) ดิก เดวี (Dick Davey) ได้รับคำแนะนำและขอเทปการเล่นถึงสองครั้งก่อนที่จะเดินทางจากแคลิฟอร์เนียไปพบแนชด้วยตัวเอง หลังจากชมการเล่นของแนชแล้ว แนชก็ได้รับทุนของมหาวิทยาลัยซานตาคลาราก่อนฤดูกาล 1992-93 ซึ่งต่อมาเขาก็ได้กลายเป็นนักบาสเกตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในเวสโคสต์คอนเฟอเรนซ์ (West Coast Conference, WCC) เลยทีเดียว
ระดับมหาวิทยาลัย
ตอนอยู่ปีหนึ่ง (ฤดูกาล 1992-93) แนชช่วยให้ซานตาคลารา หรือบรองโกส์ (Broncos) คว้าแชมป์ของทัวนาเมนต์เวสโคสต์คอนเฟอเรนซ์ และได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ของเอ็นซีดับเบิลเอโดยอัตโนมัติ แนชยังเป็นนักกีฬาปีหนึ่งคนแรกที่ได้รางวัลเอ็มวีพีในทัวนาเมนต์ WCC ส่วนในรอบแรกของทัวนาเมนต์ NCAA เขาทำให้ทีมซึ่งจัดอยู่ในอันดับ 15 เอาชนะทีมอันดับสองของสายคือ มหาวิทยาลัยแอริโซนา ด้วยคะแนน 64-61 แนชชู้ตลูกโทษได้ติดต่อกัน 6 ลูกในช่วง 31 วินาทีสุดท้ายเพื่อเก็บชัยชนะ
ถึงแม้ว่าแนชจะเล่นได้ดีตอนอยู่ปีสอง (ฤดูกาล 1993-94) แต่ทีมกลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้และไม่เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ NCAA แต่มหาวิทยาลัยก็สามารถกลับมารุ่งอีกครั้งในปีถัดมาจากการเล่นของแนช ปีนี้แนชทำคะแนน, แอสซิสต์ และเปอร์เซนต์การชู้ตสามคะแนนเป็นอันดับแรกในคอนเฟอเรนซ์ และเป็นผู้เล่นแห่งปีของ WCC แต่แนชและเพื่อนร่วมทีมก็ไม่สามารถเอาชนะมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตตในรอบแรก แนชเคยคิดที่จะเข้าดราฟในเอ็นบีเอหลังจากจบปีสาม แต่เปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ถูกดราฟสูงกว่ารอบที่สอง จึงต้องอยู่พัฒนาฝีมือต่อในมหาวิทยาลัยอีกปี
แล้วแนชก็ทำเช่นนั้น โดยช่วงปิดฤดูร้อนได้ฝึกซ้อมกับผู้เล่นเอ็นบีเอ อย่าง เจสัน คิดด์ (Jason Kidd) และ แกรี เพย์ตัน (Gary Payton) เนื่องจากตอนนั้นเขาเริ่มเป็นที่สนใจของสื่อ พอถึงฤดูกาล 1995-96 แนชพาทีมของเขาซึ่งจัดอยู่ในสายระดับปานกลางเอาชนะทีมอย่างยูซีแอลเอ และมิชิแกนสเตตในช่วงแรก ๆ ของฤดูกาล ซานตาคลาราเป็นแชมป์ WCC อีกสมัย และแนชก็เป็นผู้เล่นแห่งปีของ WCC สองสมัยติดต่อกัน เขาสิ้นสุดอาชีพการเล่นระดับมหาวิทยาลัย ด้วยสถิติแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาล คือ 510 แอสซิสต์ ชู้ตลูกโทษดีที่สุดที่ .862 (หรือ 86.2%) ชู้ตสามแต้มได้มากที่สุด (263 ครั้ง)
เมื่อกันยายน ค.ศ. 2006 มหาวิทยาลัยซานตาคลารา ก็ได้รีไทร์เสื้อหมายเลข 11 ของเขา ถือเป็นนักกีฬาคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้
อาชีพการเล่นในเอ็นบีเอ

อยู่กับฟีนิกส์ในสมัยแรก

แนชได้รับเลือกเป็นคนที่ 15 ในการดราฟรอบแรกของเอ็นบีเอเมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) โดยทีมฟีนิกส์ ซันส์ ไม่เคยมีชาวแคนาดาคนไหนที่ถูกเลือกในอันดับสูงเช่นนี้ แต่สิ่งนี้กลับไม่มีความหมายกับแฟนของทีมซันส์และโห่ทีมที่เลือกแนช ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะไม่ได้เล่นให้มหาวิทยาลัยในคอนเฟอเรนซ์ที่มีชื่อเสียง เขาเล่นสำรองให้กับดาราในเอ็นบีเอคือเจสัน คิด (Jason Kidd) และเควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson) อยู่สองปี ในปีแรก คือฤดูกาล 1996-97 แนชทำเฉลี่ยเพียง 3.3 แต้ม และ 2.1 แอสซิสต์เนื่องจากได้เล่นน้อย แต่ด้วยความพยายามเขาได้ลงสนามมากขึ้นในฤดูกาล 1997-98 และทำเฉลี่ยเพิ่มเป็น 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ แต่ปีนั้นก็เป็นปีสุดท้ายที่แนชจะเล่นให้ทีมซันส์ก่อนที่จะไปอยู่ทีมอื่นเป็นเวลาหกปี[9]

ดัลลัส

แนชได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับผู้ช่วยโค้ชทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ดอนนี เนลสัน ตอนที่แนชอยู่ที่ซานตาคลารา และแนลสันทำงานให้กับทีมโกลเดนสเตท วอริเออร์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ต่อมาเนลสันรับงานใหม่กับทีมซันส์ เขาเป็นคนแนะให้ทีมเลือกแนช หลังจากเขาย้ายไปดัลลัส เนลสันก็ได้เสนอให้บิดาของเขา ดอน เนลสัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นโค้ชและผู้จัดการทั่วไปของทีมแมฟเวอริกส์ดึงตัวแนชมา ในวันดราฟ มิถุนายน พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) แนช ก็ถูกเทรดจากซันส์ไปแมฟเวอริกส์เพื่อแลกกับ Martin Müürsepp, บับบา เวลส์ (Bubba Wells), สิทธิ์ในการดราฟ แพท แกร์ริตี (Pat Garrity) และสิทธิ์การดราฟรอบแรกซึ่งซันส์ใช้การเลือกชอน แมริออน (Shawn Marion)[7]
ปีแรกที่เล่นให้ดัลลัส เป็นฤดูกาลที่สั้นกว่าปกติเนื่องจากมีการประท้วงหยุดเล่น แนชไม่ได้ลงเล่น 10 เกมเพราะเจ็บหลัง และแฟนต่างโห่แนชตลอดทั้งฤดูกาลเพราะไม่พอใจการเทรดของทีม[7]
ในฤดูกาล 1999-2000 ถึงแม้ว่าแนชจะพักไป 25 เกมจากการบาดเจ็บข้อเท้า เขากลับมาเล่นและทำดับเบิล-ดับเบิลหกครั้งในเดือนสุดท้ายของการเล่น และจบฤดูกาลทำเฉลี่ย 8.6 แต้ม 4.9 แอสซิสต์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือแนช และเพื่อนร่วมทีม เดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) พัฒนาฝีมือไปสู่ระดับซูเปอร์สตาร์ ในขณะที่ผู้เล่นมากประสบการณ์ ไมเคิล ฟินลี (Michael Finley) ก็สร้างผลงานในระดับออลสตาร์ รวมถึงเจ้าของทีมคนใหม่ มาร์ก คิวบัน (Mark Cuban) ก็นำเอาพลังและความเร้าใจมาใส่ในทีม เหล่านี้เสริมให้แนชพัฒนาเกมการเล่นขึ้นมาก
ในฤดูกาล 2000-01 แนชทำเฉลี่ยถึง 15.3 คะแนน 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้ตำแหน่ง Comeback Player of the Year จากนิตยสาร Basketball Digest จากการนำเกมการบุกของแนช และการเล่นในระดับสูงของโนวิตสกี และ ฟินลี รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์ ฮวน ฮาวาร์ด ที่เข้าร่วมทีมมาเสริมการทำคะแนนของทั้งสาม แมฟเวอริกส์ได้เข้าเล่นในเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ดัลลัสแพ้ในรอบที่สอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าเพลย์ออฟติดต่อกันหลายสมัยของแนชและแมฟเวอริกส์
ฤดูกาล 2001-02 แนชทำได้สูงสุดในอาชีพ ที่ 17.9 คะแนน 7.7 แอสซิสต์ และได้เข้าเล่นในเกมรวมดาราของเอ็นบีเอ และได้เลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมสาม ตอนนี้เขาเป็นออลสตาร์ เริ่มปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Big Three ร่วมกับฟินลี และ โนวิตสกี ทั้งสามยังปรากฏตัวร่วมกันในภาพยนตร์ Like Mike ดัลลัสได้เล่นเพลย์ออฟอีกครั้ง และตกรอบสอง แต่ทีมก็มีความหวังมากขึ้นในฤดูกาลต่อไป
แนชเกือบจะทำได้เหมือนฤดูกาลก่อนหน้านั้น ในปี 2002-03 เฉลี่ยได้ 17.7 แต้ม 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้เข้าเล่นในออลสตาร์และเลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมสาม อีกครั้ง แนชและโนวิตสกีเปิดฤดูกาลโดยการชนะติดต่อกัน 14 เกม ซึ่งนำไปสู่เพลย์ออฟรอบสุดท้ายของสายตะวันตก และแพ้ให้กับซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ซึ่งคว้าแชมป์ในปีนั้น
แต่แนช และ Big Three ไปได้ไกลสุดเพียงแค่นี้ ฤดูกาล 2003-04 แนชทำคะแนนตกลงเหลือ 14.5 ต่อเกมและไม่ได้เล่นในออลสตาร์และไม่ติดทีม ออล-เอ็นบีเอ แต่เปอร์เซนต์การชู้ตสูงขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว 46.5 ไปเป็น 47% แอสซิสต์เฉลี่ย 8.8 และเปอร์เซนต์การชู้ตลูกโทษ 91.6% ถือเป็นค่าสูงสุดตลอดอาชีพการเล่น อย่างไรก็ตาม ดัลลัสไม่สามารถผ่านเพลย์ออฟรอบแรกได้ เป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1999-2000
และเมื่อสัญญาของแนชหมดอายุลง แนชพยายามเจรจาเซ็นสัญญาระยะยาวกับ มาร์ก คิวบัน แต่ก็ไม่สำเร็จ คิวบันไม่ต้องการสูญเสียแนชไป แต่ต้องการสร้างทีมของเขาจากโนวิตสกี และไม่อยากเสี่ยงเซ็นสัญญาระยะยาวกับแนชที่มีอายุมากแล้ว คิวบันจึงได้เสนอสัญญา 4 ปี มูลค่าประมาณ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และโอกาสสำหรับปีที่ 5 ถ้าเล่นดี คิวบันเขียนบันทึกไว้ว่าเป็นสัญญาที่ยุติธรรมและถ้าแนชได้ข้อเสนอที่ดีกว่า แนชก็ควรที่จะรับไว้และเขาก็จะยินดีด้วย แนชค้นหาข้อตกลงอื่นและสุดท้ายลงเอยกับฟีนิกส์ ซึ่งเขาก็ยังมีบ้านอยู่ ซันส์เสนอแนช ซึ่งขณะนั้นอายุ 30 ปีแล้ว ด้วยสัญญาระยะ 6 ปีรวมเป็นเงิน 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แนชลังเลที่จะออกจากดัลลัสและถามคิวบันว่าจะเสนอสัญญาระดับเดียวกันหรือไม่ ซึ่งคิวบันลังเลและแนชก็เซ็นกับซันส์ในที่สุด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น